เมนู

พรรณนาคาถาที่ 11



พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงอนุสสรณวัตถุที่เป็นเหตุ ในการ
มอบให้ซึ่งทักษิณาเพื่อหมู่เปรตทั้งหลายอย่างนี้ จึงตรัสว่า
กุลบุตรเมื่อระลึกถึงกิจที่ท่านทำมาแต่ก่อนว่า
ท่านได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ได้ทำกิจแก่เรา ได้เป็นญาติมิตร
สหายของเรา พึงให้ทักษิณาแก่ท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว.

เมื่อทรงแสดงอีกว่า ชนเหล่าใด มีการร้องไห้และเศร้าโศกเป็นต้นเป็นเบื้อง
หน้า เพราะความตายของญาติ ดำรงอยู่. ผู้ล่วงลับไปแล้ว ย่อมไม่ให้อะไร ๆ
เพื่อประโยชน์แก่ชนเหล่านั้น การร้องไห้และการเศร้าโศกเป็นต้นนั้น ของชน
เหล่านั้น มีแต่ทำตัวให้เดือดร้อนอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่ยังประโยชน์อะไร ๆ
ให้สำเร็จแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเลย จึงตรัสคาถานี้ว่า น หิ รุณฺณํ วา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุณฺณํ ได้แก่ การร้องไห้ ความร่ำไห้
ความที่น้ำตาร่วง ทรงแสดงความลำบากกายด้วยบทนี้. บทว่า โสโก ได้แก่
ความเศร้า ความโศกเศร้า. ทรงแสดงความลำบากใจด้วยบทนี้. บทว่า
ยาวญฺญา ได้แก่ หรือว่านอกจากร้องไห้เศร้าโศกใด. บทว่า ปริเทวนา
ได้แก่ การพร่ำเพ้อการรำพันถึงคุณ โดยนัยว่า โอ้ ลูกคนเดียว ที่รัก ที่พึงใจ
อยู่ไหนดังนี้เป็นต้น ของคนที่ถูกความเสื่อมเสียญาติกระทบแล้ว. ทรงแสดง
ความลำบากวาจาด้วยบทนี้.

พรรณนาคาถาที่ 12


พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้น ทรงแสดงการร้องไห้เป็นต้น ไม่เป็นประโยชน์
ว่า การรำพันอย่างอื่นแม้ทั้งหมด ไม่มีเพื่อประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับ ไปแล้ว ที่แท้

มีแต่ทำตัวให้เดือดร้อนอย่างเดียวเท่านั้น ญาติทั้งหลายก็ตั้งอยู่อย่างนั้นดังนี้แล้ว
เมื่อทรงแสดงความที่ทักษิณาซึ่งพระเจ้ามคธรัฐ ทรงถวายแล้วมีประโยชน์ จึง
ตรัสคาถานี้ว่า อยญฺจ โข ทกฺขิณา ดังนี้เป็นต้น.
คาถานั้น มีความว่า ขอถวายพระพร ทักษิณานี้แล มหาบพิตรถวาย
อุทิศหมู่พระประยูรญาติของมหาบพิตรในวันนี้ เพราะเหตุที่พระสงฆ์เป็นเนื้อนา-
บุญอันยอดเยี่ยมของโลก ฉะนั้น ทักษิณานั้น พึงเป็นทักษิณาที่ทรงตั้งไว้ดี
แล้วในพระสงฆ์ จึงสำเร็จผล ท่านอธิบายว่า สัมฤทธิ์ผลิตผล เพื่อประโยชน์
เกื้อกูล เพื่อสุขแก่แต่ชนสิ้นกาลนาน. ก็บทว่า อุปกปฺปติ ได้แก่ สำเร็จผล
โดยฐานะ คือสัมฤทธิ์ผลในขณะนั้นทันที ไม่นานเลย. เหมือนอย่างว่า ข้อที่แจ่ม
แจ้งในทันทีทันใด ก็ตรัสว่า ก็ข้อนั้นแจ่มแจ้งกะตถาคตโดยฐานะ ฉันใด
ทักษิณาที่สำเร็จผลในทันทีทันใด แม้ในที่นี้ ก็ตรัสว่า สำเร็จผลโดยฐานะ
ฉันนั้น. ฐานะใด ตรัสไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ทานนั้น ย่อมสำเร็จผลแก่
สัตว์ผู้ตั้งอยู่ในปิตติวิสัยใด ปิตติวิสัยนั้นแล เป็นฐานะดังนี้. ทักษิณาที่สำเร็จ
ผลในฐานะนั้น อันต่างโดยประเภทมีขุปปิปาสิกเปรต วันตาสาเปรต ปรทัตตูป-
ชีวีเปรตและนิชฌามตัณหิกเปรตเป็นต้น ก็ตรัสว่า ย่อมสำเร็จผลโดยฐานะ
เหมือนผู้ให้กหาปณะ ในโลกเขาก็เรียกกันว่า ผู้นั้น ให้กหาปณะ ฉะนั้น. แต่
ในอรรถวิกัปนี้ บทว่า อุปกปฺปติ ได้แก่ ปรากฏผล ท่านอธิบายว่าบังเกิดผล.

พรรณนาคาถานี้ 13


พระผู้มีพระภาคเจ้า เนื้อทรงแสดงความที่ทักษิณา ซึ่งพระราชาถวาย
แล้ว มีประโยชน์อย่างนี้ จึงตรัสว่า